Montessori Association of Thailand
  • Home
    • Course Info ข้อมูลหลักสูตร
    • Our Schools โรงเรียนของเรา
  • More Info ข้อมูลเพิ่มเดิม
    • Trainings การอบรม >
      • Course Materials เอกสารประกอบการอบรม
    • Resources เพื่อเสริมความรู้ >
      • My Newborn ลูกน้อยแรกเกิดของแม่
      • My Infant ลูกอ่อนของแม่
      • My Toddler เด็กน้อยที่หัดเดินอยู่ของแม่
      • Lodging in Khon Kaen ที่พักที่ขอนแก่น
    • Job Posting ประกาศรับสมัครงาน >
      • Job Searching หางาน
    • Congress 2023 คองเกรส ๒๕๖๖
    • Archive ที่เก็บเอกสาร >
      • 0-3 year old Classrooms ห้องเรียนเด็ก 0-3 ปี
      • 3-6 year old classrooms ห้องเรียนเด็ก 3-6 ปึ
      • 6-12 year old classrooms ห้องเรียนเด็ก 6-12 ปี
      • Summer Schedule ภาคฤดูร้อน
      • Other Training การอบรมอื่นๆ
      • AMI Messages ข้อความจากเอเอ็มไอ
      • Other Messages ข้อความอื่นๆ
  • About เกี่ยวกับสมาคม
    • Montessori มอนเทสซอริ
    • Contact ติดต่อ
    • Announcements ประกาศ
    • FAQ คำถามที่พบบ่อย
    • Links ลิงค์

​คำถามที่พบบ่อย
​Frequently Asked Questions (FAQ)

ทำไมต้องเป็นครู AMI?
ในห้องเรียนมอนเทสซอริ​ หลักการสำคัญคือการสร้าง “สภาพแวดล้อมที่ตอบสนอง” เพื่อให้เด็กแต่ละคนค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ครู AMI จึงไม่ใช่เพียงผู้สอน แต่เป็น “ผู้นำทาง” ที่ช่วยเด็ก ๆ ให้ค้นพบเส้นทางของตนเองในการเป็นบุคคลที่มีความสามารถและสมดุลทั้งด้านอารมณ์ สังคม และสติปัญญา
​

ข้อดีของการเป็นครูที่ได้รับการรับรองจาก AMI:
  • เข้าใจลึกซึ้งถึงพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย
  • สร้างห้องเรียนที่เด็กได้ลงมือทำจริง เรียนรู้ตามจังหวะของตัวเอง และสนุกไปกับการเรียน
  • ปลูกฝังความเป็นผู้นำ วินัยในตนเอง และความรับผิดชอบผ่านการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับความสนใจของเด็ก
  • ผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดจนได้ประกาศนียบัตรคุณภาพสูงที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
  • มีเครือข่ายระดับนานาชาติที่ช่วยสนับสนุนและพัฒนาความเป็นครูมอนเตสซอรี่ให้ดียิ่งขึ้น
​ประกาศนียบัตร AMI คืออะไร?
ประกาศนียบัตรจากสมาคมมอนเทสซอริ อินเตอร์เนชั่นแนล (AMI) ไม่เพียงเป็นที่ยอมรับในระดับโลก แต่ยังสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญที่เข้มงวดและความซื่อตรงต่อแนวทางดั้งเดิมของมอนเทสซอริ นอกจากนี้ ยังเปิดประตูสู่โอกาสทางอาชีพมากมาย ทั้งในบทบาทครู นักวิจัย ผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งผู้ฝึกอบรมครู

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลก
การเป็นครู AMI ไม่ได้หมายถึงการสอนเพียงในห้องเรียน แต่คือการสร้างอนาคตของเด็ก ๆ และช่วยให้พวกเขาค้นพบความสุขในชีวิต ผ่านการเรียนรู้ที่แท้จริง
     “ครูต้องสอนเธอ ปลูกเมล็ดพันธุ์แล้วหายไป สังเกตและรอ” — มาเรีย มอนเทสซอริ
​
เริ่มต้นเส้นทางของคุณวันนี้
ช่วยให้เด็ก ๆ ค้นพบตัวเองและสร้างโลกที่ดียิ่งขึ้น
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอบรมครู AMI ได้ที่:
Become an AMI Teacher: https://montessori-ami.org/training-programmes/become-ami-teacher
ทำไมต้องเลือกการศึกษาแบบมอนเทสซอริสำหรับลูกของเรา
🌏การศึกษาแบบมอนเตสซอรี่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่ “การเรียนรู้ในห้องเรียน” แต่เป็นการพัฒนาเด็กอย่างครบถ้วน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพื่อให้เด็กๆเติบโตเป็นบุคคลที่มีศักยภาพ มีความสุข และสามารถสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับสังคมรอบตัว

🌟มอนเทสซอริ: การศึกษาที่เปลี่ยนโลก🌎

แนวทางการศึกษานี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย ดร.มาเรีย มอนเทสซอริ ผู้เชื่อมั่นในพลังของการศึกษาว่าเป็น “กุญแจ”สำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม เธอใช้ทั้งชีวิตในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชนของเด็ก ๆ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็กๆ

กว่า 90 ปีที่ผ่านมา สมาคมมอนเทสซอริ อินเตอร์เนชั่นแนล (AMI) ได้ทำหน้าที่สืบสานมรดกนี้ผ่านการทำงานร่วมกับศูนย์ฝึกอบรม โรงเรียนในเครือ และนักการศึกษาทั่วโลก เพื่อให้ิแนวทางนี้เข้าถึงชุมชนได้มากขึ้น

มอนเทสซอริในมุมมองสากล
​
ในปี 2020 BBC StoryWorks ได้ถ่ายทอดแนวทางมอนเทสซอริผ่านเรื่องราวในโรงเรียนสองแห่งที่รัฐมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา ภาพยนตร์นี้แสดงให้เห็นว่าแนวทางการศึกษาแบบมอนเทสซอริไม่เพียงสนับสนุนพัฒนาการของเด็ก แต่ยังส่งผลดีต่อชุมชนโดยรวม
คุณสามารถชมเรื่องราวนี้ได้ที่:
เลือกแนวทางการศึกษา มอนเทสซอริ เพื่ออนาคตของลูกเรา
ให้ลูกของเราได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่เคารพและสนับสนุนพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็กอย่างเต็มที่ เพราะการศึกษาที่ดีไม่ใช่แค่ความรู้ในตำรา แต่คือการสร้างคนที่พร้อมเติบโตและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้
https://montessori-ami.org/montessori-education
การเตรียมเด็กๆให้เติบโตสู่ชีวิตที่เปี่ยมด้วยรัก ใส่ใจ และเอื้ออาทร
“ทุกวันนี้ เราต้องการการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาความเป็นมนุษย์และการสร้างสิ่งดี ๆ ที่ยิ่งใหญ่ เพราะความรู้เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ การศึกษาคือการมองไปที่เด็กและถามตัวเองว่า ด้วยสิ่งที่เรามีอยู่ เราจะสร้างสิ่งที่จะช่วยให้เด็กๆเติบโตและงอกงามได้อย่างไร”

การศึกษาแบบมอนเทสซอริไม่ได้เน้นเพียงการสร้างความรู้ในตำรา แต่เป็นการปลูกฝังคุณค่าความเป็นมนุษย์ ผ่านการพัฒนาความสามารถในการดูแลตัวเอง ดูแลผู้อื่น และเชื่อมโยงกับโลกใบนี้ในแบบที่เปี่ยมด้วยความรักและความเข้าใจ

มอนเทสซอริ: การเรียนรู้ที่ส่งเสริมหัวใจแห่งความรัก ใส่ใจ และเอื้ออาทร

ด้วยสภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนพัฒนาการที่สมดุล เด็ก ๆ ในห้องเรียนมอนเทสซอริได้รับการส่งเสริมให้เรียนรู้จากความสนใจของตนเอง และฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นผ่านการทำงานร่วมกันและการช่วยเหลือกันในชุมชนเล็ก ๆ ที่เรามักเรียกว่าบ้านของเด็ก

สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจ แต่ยังเป็นผู้ที่มีหัวใจพร้อมจะแบ่งปันและช่วยเหลือสังคม เป็นความงอกงามของสิ่งดีงาม

ชมวิดีโอแห่งแรงบันดาลใจ
ร่วมชมวิดีโอสุดพิเศษที่ผลิตร่วมกับ BrightVibes ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการที่แนวทางการศึกษาแบบมอนเตสซอรี่ช่วยเตรียมเด็ก ๆ ให้เติบโตสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยรักและความใส่ใจเอื้ออาทร
เพราะโลกที่ดีกว่าเริ่มต้นที่การศึกษา
ช่วยเด็ก ๆ ให้เติบโตไปพร้อมกับหัวใจที่เปิดกว้าง ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ด้วยการเลือกแนวทางการศึกษาที่ใส่ใจในทุกมิติของชีวิตเด็กอย่างแท้จริง

https://montessori-ami.org/resource-library/videos/preparing-children-life-caring
​โรงเรียนมอนเทสซอริทั้งหมดเหมือนกันหรือไม่?
โรงเรียนมอนเทสซอริมีความหลากหลาย เนื่องจากชื่อ “มอนเทสซอริ” เป็นสาธารณสมบัติ ซึ่งหมายความว่าใครก็ตามสามารถใช้ชื่อนี้สำหรับโรงเรียนของตนได้ วิธีที่ดีที่สุดในการมั่นใจว่าโปรแกรมนั้นปฏิบัติตามแนวทางมอนเทสซอริอย่างแท้จริงคือการสอบถามว่าโรงเรียนหรือโปรแกรมนั้นได้รับการรับรองจาก AMI หรือไม่

​
อ้างอิง: https://amiusa.org/families/faqs-for-families/
เด็กทำอะไรในโปรแกรมมอนเทสซอริ?
ในห้องเรียนมอนเทสซอริ มีหลายพื้นที่การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกัน เช่น ทักษะชีวิตประจำวัน การพัฒนาประสาทสัมผัส ภาษา คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม เช่น ภูมิศาสตร์ ศิลปะ และดนตรี เด็กจะได้รับบทเรียนทั้งแบบรายบุคคลและกลุ่ม และมีอิสระในการเลือกกิจกรรมที่สนใจ ซึ่งสนับสนุนความอยากรู้อยากเห็นและความต้องการเรียนรู้ตามธรรมชาติของเด็ก
​ข้อดีของการมีเด็กต่างวัยคละอายุสามปีในห้องเรียนคืออะไร?
การมีเด็กต่างวัยคละอายุสามปีในห้องเรียนนั้นเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้อุปกรณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและท้าทายตามความสนใจที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ เด็กยังมีโอกาสเป็นทั้งผู้เรียนจากครูและผู้สอนเพื่อนและน้อง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในห้องเรียน

​
อ้างอิง: https://amiusa.org/families/faqs-for-families/
การจัดการวินัยในห้องเรียนมอนเทสซอริเป็นอย่างไร?
การพัฒนาวินัยในตนเองเป็นสิ่งที่ได้รับการสนับสนุนและให้คุณค่า โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีโครงสร้างและส่งเสริมการสำรวจ ความคิดสร้างสรรค์ และการเลือกภายในขอบเขตที่ชัดเจน เด็กจะเรียนรู้การควบคุมตนเองและทักษะการแก้ปัญหาที่ส่งเสริมความเป็นอิสระและความรับผิดชอบ

​
อ้างอิง: https://amiusa.org/families/faqs-for-families/
ทำไมบรรยากาศในโปรแกรมมอนเทสซอริถึงไม่เน้นการแข่งขัน ทั้งที่เราอยู่ในโลกที่มีการแข่งขันสูง?
ในโปรแกรมมอนเทสซอริ เด็กจะเดินทางตามเส้นทางของตนเองตามจังหวะของตนเองสู่ความเป็นผู้ใหญ่ การเน้นที่การสนับสนุนและส่งเสริมเด็กให้พัฒนาและเรียนรู้ตามความสนใจ ความต้องการ และจังหวะของตนเอง การใช้ระบบรางวัลในห้องเรียนจะเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กจากการเดินทางส่วนบุคคลของตน

​
อ้างอิง: https://amiusa.org/families/faqs-for-families/
​เด็กมีปัญหาในการเปลี่ยนไปเรียนในโรงเรียนระบบปกติหลังจากเรียนในโรงเรียนมอนเทสซอริหรือไม่?
การย้ายจากโรงเรียนมอนเทสซอริไปยังสภาพแวดล้อมการเรียนรู้อื่นเป็นประเด็นที่ผู้ปกครองมักกังวล อย่างไรก็ตาม นิสัยและทักษะที่เด็กพัฒนาในห้องเรียนมอนเทสซอริจะคงอยู่ตลอดชีวิตและเป็นประโยชน์ไม่ว่าเด็กจะไปที่ใด เด็กมอนเทสซอริมักปรับตัวได้ดี ทำงานได้ทั้งคนเดียวและเป็นกลุ่ม มีทักษะการตัดสินใจที่มั่นคง ความสามารถในการแก้ปัญหา และจัดการเวลาของตนเองได้ดี
​
​
อ้างอิง: https://amiusa.org/families/faqs-for-families/
​เด็กในโปรแกรมมอนเทสซอริเตรียมพร้อมสำหรับการสอบที่รัฐบาลกำหนด สอดคล้องกับหลักสูตรแห่งชาติหรือไม่?
ใช่ เด็กในโปรแกรมมอนเทสซอริต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐ และเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องมั่นใจว่านักเรียนพร้อมสำหรับการสอบตามหลักสูตรมาตรฐานของแต่ละประเทศ
เปรียบเทียบการศึกษาระหว่างระบบมอนเทสซอริและการศึกษากระแสหลัก
มอนเทสซอริคือแนวทางการเรียนรู้ที่เน้นพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็กและส่งเสริมความเป็นตัวของตัวเอง แตกต่างจากระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมในหลายด้าน เช่น:
หัวข้อ
มอนเทสซอริ
กระแสหลัก
การเรียนรู้
เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองตามความสนใจ ผ่านสื่อการสอนที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
เด็กเรียนรู้ตามหลักสูตรที่กำหนดและสอนโดยครู
ประสบการณ์
การเข้าใจเกิดจากการลงมือทำและการสำรวจด้วยตนเอง
การเรียนจำกัดอยู่ในเนื้อหาที่ครูให้
สภาพแวดล้อมการเรียน
ห้องเรียนออกแบบให้เด็กได้สำรวจและเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและความคิด
เด็กนั่งเรียนบนโต๊ะและทำงานจากกระดานหรือแบบฝึกหัด
บทบาทของครู
ครูทำงานร่วมกับเด็กแบบร่วมมือ
ครูเป็นผู้นำการเรียนการสอน
แรงจูงใจในการเรียน
เด็กได้รับแรงจูงใจจากความสำเร็จส่วนตัว
ใช้ระบบรางวัลและการลงโทษ
โครงสร้างเวลา
มีช่วงเวลาการทำงานที่ต่อเนื่อง
มีตารางเวลาเป็นช่วงคาบ
กลุ่มอายุในห้องเรียน
ห้องเรียนมีเด็กต่างวัยร่วมกัน
ห้องเรียนแยกตามอายุ
พัฒนาการทางสังคม
เน้นการเรียนรู้ควบคู่กับพัฒนาการทางสังคม
ไม่มีการเน้นพัฒนาการทางสังคม
มอนเทสซอริเปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาตนเองตามธรรมชาติ ทั้งด้านร่างกาย ความคิด และจิตใจ
อ่านเพิ่มเติม
https://amiusa.org/wp-content/uploads/2019/07/ami-usa-montessori-vs-mainstream-1.pdf
การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมในเด็กพัฒนาการระนาบที่1และพัฒนาการระนาบที่ 2
โดย อัลลิน ทราวิส
​
​การพัฒนาคุณธรรมเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็ก นั้นเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาในอนาคต ดร.มาเรีย มอนเทสซอริ กล่าวในหนังสือ The Absorbent Mind ว่า “เด็กในช่วงหลังคลอดจะซึมซับรูปแบบการใช้ชีวิตของสังคมรอบตัว และรูปแบบเหล่านี้จะกลายเป็นลักษณะถาวรเป็นเนื้อเป็นตัว เช่นเดียวกับภาษาแม่”

พัฒนาการระนาบที่1 : วัยแรกเริ่ม ปฐมวัย (0-6 ปี): การสร้างตนเอง
ในช่วงวัยแรก เด็กมุ่งเน้นการสร้างตนเองและต้องการความช่วยเหลือในการพัฒนาอิสระและการตัดสินใจที่ดี ผู้ใหญ่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนหรือขัดขวางการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของเด็ก

พัฒนาการระนาบที่2 วัยเด็ก (6-12 ปี): การพัฒนาสังคมและการใช้เหตุผล
เมื่อเด็กเข้าสู่พัฒนาการระนาบที่2  จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เช่น การเริ่มตั้งคำถาม “อย่างไร” “เมื่อไร” “ที่ไหน” และ “ทำไม” เด็กต้องการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังข้อเท็จจริงและเริ่มสำรวจแนวคิดเชิงนามธรรม พวกเขาต้องการใช้ความสามารถในการใช้เหตุผลเพื่อสรุปเกี่ยวกับความถูกต้องและความผิดด้วยตนเอง

ความหมายของ “คุณธรรม”
คำว่า “คุณธรรม” มาจากภาษาละติน “moralis” หมายถึง “ขนบธรรมเนียม” สิ่งที่ถือว่ามีคุณธรรมแตกต่างกันไปตามกลุ่มและวัฒนธรรม การเรียนรู้คุณธรรมของสังคมเป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวของเด็กเข้าสู่สังคม

ความต้องการความเป็นระเบียบและความรัก
ดร.อังเดร แบร์ก (Dr. André Berge) นักจิตแพทย์ชาวฝรั่งเศส อธิบายว่ามนุษย์ต้องการความเป็นระเบียบทั้งทางกายและจิตใจ ซึ่งเป็นรากฐานของปรากฏการณ์ทางคุณธรรม ความรักเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้บุคคลก้าวข้ามตนเองและมุ่งสู่สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ส่วนตัว

การพัฒนาคุณธรรมในวัยเด็ก
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นพ้องว่าคุณธรรมเริ่มพัฒนาในวัยเด็กและเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต วัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่คุณธรรมถูกเรียนรู้ หลักจริยธรรมถูกทดสอบ และความเชื่อทางศาสนาถูกสร้างขึ้น เด็กในวัยนี้สนใจในปัญหาทางคุณธรรมและต้องการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำต่าง ๆ

บทบาทของผู้ใหญ่ในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม
ดร.มอนเทสซอริเชื่อว่าการบรรยาย การสั่งสอนเกี่ยวกับคุณธรรมมีประโยชน์น้อยมากสำหรับเด็ก และอาจมีผลเสีย เด็กต้องการใช้เหตุผลของตนเองในการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ครูควรสนับสนุนการพัฒนานี้โดยไม่ใช้วิธีการสอนโดยตรง แต่ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการตัดสินใจด้วยตนเอง

การพัฒนาคุณธรรมในเด็กเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมวัย พัฒนาการระนาบที่1 และดำเนินต่อไปตลอดชีวิต ผู้ใหญ่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนานี้โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการตัดสินใจด้วยตนเองของเด็ก
.
https://amiusa.org/wp-content/uploads/2019/07/amiusa-the-development-of-morality.pdf
ฟรี บัตรภาพ และบัตรคำศัพท์จำแนกประเภท ​Free Classified Cards
​ฟรี บัตรภาพ และบัตรคำศัพท์จำแนกประเภท เป็นชุดภาพที่แสดงและจัดหมวดหมู่สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก หากคุณมีเครื่องพิมพ์ ควรพิมพ์และตัดการ์ดออกมาเพื่อใช้งาน นอกจากนี้ เรายังมีเวอร์ชันสำหรับใช้งานผ่านหน้าจอเพื่อความสะดวก

เมื่อคุณเรียกดูบัตรภาพต่าง ๆ บางชุดอาจเหมาะสมกับวัฒนธรรมของคุณมากกว่าชุดอื่น ๆ คุณสามารถเลือกนำไปใช้งาน ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ทาง AMI กำลังพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเพิ่มบัตรภาพที่ตรงกับวัฒนธรรมอันหลากหลาย และยินดีรับคำแนะนำต่างๆ นอกจากนี้ เรายังทำงานเพื่อแปลสิ่งเหล่านี้เป็นภาษาต่าง ๆ ให้มากที่สุด และได้รวมแม่แบบการแปลไว้ในแต่ละชุดของบัตรภาพจำแนกประเภท หากคุณมีการนำไปแปลเป็นภาษาของคุณ โปรดส่งอีเมลมาที่ [email protected]

คุณสามารถเข้าไปตามลิงก์ และเลือกบัตรภาพในภาษาที่ต้องการ และสามารถดาวน์โหลดและพิมพ์การ์ดเหล่านี้เพื่อใช้ในการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ได้ที่ AMI Digital
https://montessoridigital.org/node/7514
ทําไมต้องเลือกการศึกษาแบบมอนเทสซอริสําหรับลูกของเรา
​การศึกษามอนเทสซอริมุ่งเน้นการพัฒนาเด็กทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ผลิตผล และมีความสุข สามารถสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับโลกใบนี้ 

ดร.มาเรีย มอนเทสซอริ ผู้ก่อตั้งแนวทางการศึกษานี้ เชื่อมั่นในพลังของการศึกษาเพื่อการปฏิรูปสังคม และได้สนับสนุนสิทธิของเด็กตลอดชีวิตของเธอ 

ปัจจุบัน Association Montessori Internationale (AMI) ซึ่งก่อตั้งโดยดร.มอนเทสซอริเมื่อกว่า 90 ปีที่แล้ว ยังคงสืบสานงานของเธอ โดยร่วมมือกับศูนย์ฝึกอบรม สมาคมที่เกี่ยวข้อง โรงเรียน และนักการศึกษา เพื่อนำการศึกษามอนเทสซอริไปสู่ชุมชนทั่วโลก 
​
ในเดือนมีนาคม 2020 BBC StoryWorks ได้ถ่ายทำการศึกษามอนเทสซอริในโรงเรียนสองแห่งที่มินนิโซตา สหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นว่าการศึกษามอนเทสซอริสนับสนุนชุมชนอย่างไร จากวีดิโอนี้ (https://youtu.be/0lBh4GG_eBA)
อ้างอิง: https://montessori-ami.org/montessori-education
ปรัชญามอนเทสซอริ
​ปรัชญาการศึกษามอนเทสซอริถูกพัฒนาโดยดร.มาเรีย มอนเทสซอริ แพทย์หญิงชาวอิตาลีคนแรก เธอได้พัฒนาวิธีการนี้ผ่านการสังเกตเด็กทั่วโลกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จากการสังเกตเหล่านี้ ดร.มอนเทสซอริพบแนวโน้มและลักษณะที่พัฒนาโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เตรียมไว้อย่างเหมาะสม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของเด็กอย่างเต็มที่

แม้ว่าวิธีการสอนทุกแบบจะกระตุ้นการเรียนรู้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้มอนเทสซอริแตกต่างคือวิธีการของมอนเทสซอริ จิตใจของเด็กเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับทุกสิ่ง พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ เป้าหมายหลักของการศึกษามอนเทสซอริคือการเปลี่ยนประกายความสนใจนั้นให้เป็นเปลวไฟแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ลองจินตนาการถึงโรงเรียนที่…
  • มองว่าการศึกษาไม่ใช่เพียงวิธีการไปสู่จุดหมาย แต่เป็นการช่วยเหลือชีวิต
  • วิธีการเรียนรู้ไม่ได้มาจากหลักสูตร แต่จากการพัฒนาตามธรรมชาติของเด็ก
  • สถานที่ที่ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และความเป็นปัจเจกบุคคลมีคุณค่าเทียบเท่ากับสมาธิ แรงจูงใจ และความพยายาม
  • ที่ที่ลูกของคุณไม่ใช่เพียงนักเรียน แต่ยังเป็นครูด้วย

เหตุใดมอนเทสซอริจึงได้ผล
หลักการสำคัญเหล่านี้มีส่วนช่วยให้การศึกษามอนเทสซอริประสบความสำเร็จ:
  • การเรียนรู้หลายรูปแบบ – การเรียนรู้เกิดขึ้นผ่านการเคลื่อนไหว การสัมผัส การมองเห็น และการได้ยิน
  • ห้องเรียนที่มีเด็กต่างวัย – การจัดกลุ่มเด็กต่างวัยตามช่วงพัฒนาการ ช่วยให้พวกเขาเรียนรู้จากเด็กที่อายุมากกว่าและน้อยกว่า และยังสร้าง “ช่วงความมั่นใจ” ในการเรียนรู้ โดยเด็กจะไม่ถูกติดป้ายว่าล้าหลังหรือเก่งเกินไป เพียงเพราะพวกเขาเข้าใจแนวคิดก่อนหรือหลังเพื่อนวัยเดียวกันเล็กน้อย
  • การสังเกต – การสังเกตเด็กเผยให้เห็นเวลาที่เหมาะสมในการนำเสนอข้อมูลและประสบการณ์ใหม่ ทั้งในด้านวิชาการ สังคม และส่วนบุคคล
  • การพัฒนาตามวัย – ความตระหนักถึงความต้องการและความสามารถในช่วงเวลาพัฒนาที่เฉพาะเจาะจง ช่วยให้เด็กมีส่วนร่วมและเรียนรู้อย่างเต็มที่
  • ชุมชนในห้องเรียน – ประสบการณ์ในห้องเรียนควรสร้างขึ้นบนความต้องการของเด็กเล็กในการควบคุมสภาพแวดล้อมของตนเอง ชุมชนในห้องเรียนจึงควรมุ่งเน้นที่เด็กเป็นศูนย์กลางมากกว่าผู้ใหญ่
  • สื่อการเรียนรู้ – การใช้สื่อที่แก้ไขได้ด้วยตนเอง ช่วยให้เด็กสามารถจัดการและสำรวจตามจังหวะของตนเอง สร้างความพึงพอใจและพัฒนาความมั่นใจในตนเองเมื่อประสบความสำเร็จ

หากต้องการดูตารางเปรียบเทียบลักษณะสำคัญระหว่างการศึกษามอนเทสซอริและการศึกษาแบบดั้งเดิม สามารถคลิกที่นี่ https://amiusa.org/wp-content/uploads/2019/07/ami-usa-montessori-vs-mainstream-1.pdf

การศึกษามอนเทสซอริได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ของเด็ก หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัยที่สนับสนุนการศึกษามอนเทสซอริ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

อ้างอิง:https://amiusa.org/about/montessori-philosophy/
พัฒนาการของเด็กตามแนวทางมอนเทสซอริ
แนวทางการศึกษามอนเทสซอริมีพื้นฐานอยู่บน “สี่ระนาบพัฒนาการ” (Four Planes of Development) ซึ่งแต่ละช่วงมีลักษณะและความต้องการเฉพาะตัว การเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่

ดร.มาเรีย มอนเทสซอริ กล่าวว่า:
“ข้าพเจ้าได้พบว่าในการพัฒนา เด็กจะผ่านช่วงต่าง ๆ ซึ่งแต่ละช่วงมีความต้องการเฉพาะตัว ลักษณะของแต่ละช่วงนั้นแตกต่างกันมากจนการเปลี่ยนผ่านจากช่วงหนึ่งไปยังอีกช่วงหนึ่งถูกอธิบายโดยนักจิตวิทยาบางคนว่าเป็น ‘การเกิดใหม่’”

ระนาบที่หนึ่ง (แรกเกิดถึง 6 ปี): “นั่นคืออะไร?”
ในช่วงนี้ เด็กมีความไวพิเศษที่ทำให้พวกเขาดูดซับทุกสิ่งรอบตัว เป็นการปรับตัวเข้ากับชีวิตผ่านพลังที่ไม่รู้ตัวที่มีอยู่ในวัยเด็ก ช่วงแรกของชีวิตเด็กจึงเป็นช่วงของการปรับตัว

ลักษณะของระนาบที่หนึ่ง:
  • เป็นช่วงของการสร้างทั้งร่างกายและจิตใจ
  • ต้องการความรักและการปกป้อง
  • จิตใจยังไม่สามารถเลือกเองได้
  • ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัว
  • พัฒนาความสามารถในการสื่อสารอย่างเป็นทางการ
  • พัฒนาการเคลื่อนไหวที่ประสานกัน
  • การเคลื่อนไหวทางกายภาพที่เกิดขึ้นเอง
  • การใช้ประสาทสัมผัสมีความสำคัญ
  • ทำงานคนเดียวหรือขนานกัน
  • ต้องการงานที่มีเป้าหมาย

ระนาบที่สอง (6 ถึง 12 ปี): “ทำไม? หรือ อย่างไร?”
ในช่วงนี้ ควรให้เด็กเห็นภาพรวมของจักรวาล ซึ่งเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่และเป็นคำตอบสำหรับทุกคำถาม เราจะเดินไปด้วยกันบนเส้นทางชีวิตนี้ เพราะทุกสิ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลและเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว

ลักษณะของช่วงที่สอง:
  • ศักยภาพสูงสุดสำหรับการพัฒนาทางปัญญา
  • ค่อนข้างสงบและมั่นคง
  • การหายไปของลักษณะทารกบนร่างกายและใบหน้า
  • ฟันหลุด
  • แข็งแรงขึ้นและป่วยน้อยลง
  • พร้อมที่จะย้ายจากการเรียนรู้เชิงรูปธรรมไปสู่เชิงนามธรรม
  • ใช้จินตนาการ
  • ต้องการความเป็นระเบียบภายในมากกว่าภายนอก
  • ชอบการผจญภัย
  • มีความรู้สึกยุติธรรม
  • สังคม; มี “สัญชาตญาณฝูง”
  • งานใหญ่
  • ชื่นชม “ฮีโร่”

ระนาบที่สาม (12 ถึง 18 ปี): “ฉันคือใคร?”
วัยรุ่นไม่ควรถูกปฏิบัติเหมือนเด็ก เพราะนั่นเป็นช่วงชีวิตที่พวกเขาได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ลักษณะของช่วงที่สาม:
  • การพัฒนาบุคลิกภาพและอัตลักษณ์
  • การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์
  • แสวงหาความเป็นอิสระและความรับผิดชอบ
  • ต้องการการยอมรับจากสังคม
  • พัฒนาความคิดเชิงนามธรรมและการวิเคราะห์
  • สำรวจความสนใจและความหลงใหลของตนเอง

ระนาบที่สี่ (18 ถึง 24 ปี): “บทบาทของฉันในโลกคืออะไร?”
ในช่วงนี้ บุคคลจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างเส้นทางชีวิตของตนเองและหาบทบาทในสังคม

ลักษณะของช่วงที่สี่:
  • การสร้างอาชีพและความมั่นคงทางการเงิน
  • การสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
  • การมีส่วนร่วมในชุมชนและสังคม
  • การพัฒนาความเป็นผู้นำ
  • การแสวงหาความหมายและจุดมุ่งหมายในชีวิต

การเข้าใจและสนับสนุนพัฒนาการในแต่ละช่วงเหล่านี้จะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสมดุลและมีความสุข

อ้างอิง: https://amiusa.org/families/childs-development/
นำแนวทางมอนเทสซอริสู่บ้านของเรา: สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกน้อย
​การศึกษามอนเทสซอริเน้นความร่วมมือระหว่างเด็ก ผู้ปกครอง และครู เปรียบเสมือนสามเหลี่ยมด้านเท่าที่ทุกด้านมีความสำคัญและเชื่อมโยงกัน บทบาทของผู้ปกครองคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่บ้านที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ในห้องเรียน เพื่อสนับสนุนพัฒนาการของลูกอย่างเต็มที่

ทำไมบทบาทของครอบครัวจึงสำคัญ
งานวิจัยจาก National Committee for Citizens in Education พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเด็กในโรงเรียนมากที่สุด ไม่ใช่รายได้หรือสถานะทางสังคม แต่คือ:
  • การสร้างสภาพแวดล้อมที่บ้านที่ส่งเสริมการสำรวจและการเรียนรู้
  • การแสดงความคาดหวังที่สูง (แต่ไม่เกินจริง) ต่อความสำเร็จและอนาคตของลูก
  • การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการศึกษาของลูกทั้งที่โรงเรียนและในชุมชน
บทบาทของผู้ปกครองในแนวทางมอนเทสซอริ
เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของลูก ผู้ปกครองควร:
  • ศึกษาและทำความเข้าใจหลักการมอนเทสซอริ
  • สังเกตพฤติกรรมของลูกทั้งที่บ้านและโรงเรียน
  • ร่วมมือกับครูในการวางแผนการศึกษา
โอกาสในการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง
  • เข้าร่วมการบรรยายสำหรับผู้ปกครอง
  • ประชุมผู้ปกครอง-ครู
  • เข้าร่วมกิจกรรมเปิดบ้าน
  • สังเกตการเรียนการสอนในห้องเรียน
  • อ่านหนังสือของมาเรีย มอนเทสซอริ
  • เข้าร่วมกลุ่มสนทนาที่นำโดยครู

พลังของครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่ง
การที่ผู้ปกครองและครูเข้าใจบทบาทของกันและกัน และร่วมมือกัน จะช่วยสนับสนุนพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มที่
ทรัพยากรสำหรับครอบครัว
  • พัฒนาการของลูกน้อย: เข้าใจขั้นตอนพัฒนาการตามแนวทางมอนเทสซอริ
  • ครูมอนเทสซอริ: บทบาทและวิธีการสอนที่แตกต่าง
  • ห้องเรียนมอนเทสซอริ: สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้
  • การเลือกชุมชนโรงเรียน: คำแนะนำในการเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม
  • ทรัพยากรสำหรับครอบครัว: แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
  • คำถามที่พบบ่อยสำหรับครอบครัว: คำตอบสำหรับข้อสงสัยทั่วไป
การนำแนวทางมอนเทสซอริมาใช้ที่บ้านจะช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาการของลูกน้อยอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมมือกับครูและสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อให้ลูกของคุณเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ

📚 อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กในแบบมอนเทสซอริได้ที่นี่:
AMI USA - Montessori in The Home: https://amiusa.org/families/montessori-in-the-home/
การศึกษามอนเทสซอริและธรรมชาติสำหรับเด็กพิเศษ
ผู้เขียน: Nimal Vaz

บทความนี้เน้นถึงความสำคัญของการศึกษามอนเทสซอริในการพัฒนาเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยเชื่อมโยงธรรมชาติให้เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ แนวคิดหลักมีดังนี้:
ความเข้าใจเรื่องเด็กพิเศษ
คำว่า “เด็กพิเศษ” หมายถึงเด็กที่ต้องการการศึกษาเฉพาะทาง เนื่องจากพัฒนาการที่แตกต่างจากเกณฑ์เฉลี่ย เช่น เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ เด็กออทิสติก หรือเด็กที่มีพรสวรรค์ โดยการศึกษามอนเทสซอริให้ความสำคัญกับการมองว่าเด็กคือ “เด็กคนหนึ่ง” ก่อนที่จะมองถึงความพิเศษของเขา
ดร.มาเรีย มอนเทสซอริ เริ่มต้นพัฒนาแนวทางการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษตั้งแต่ปี 1898 โดยใช้วิธีการที่ช่วยให้เด็กพัฒนาบุคลิกภาพและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของธรรมชาติ
ธรรมชาติเป็น “ครู” ที่สำคัญสำหรับเด็ก เพราะช่วยให้เด็กเข้าใจโลกผ่านประสบการณ์ตรง เช่น:
  • การสังเกตรังมด
  • การเดินสำรวจธรรมชาติ
  • การเรียนรู้เกี่ยวกับใบไม้ ดอกไม้ และสัตว์
ดร.มอนเทสซอริ เชื่อว่าการพาเด็กเข้าใกล้ธรรมชาติช่วยให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจความเป็นจริง และลดการหลงอยู่ในจินตนาการเกินพอดี

การผสมผสานธรรมชาติกับการเรียนรู้ในมอนเทสซอริ
  1. การพัฒนาทักษะชีวิต
    กิจกรรมในธรรมชาติ เช่น การขุดดิน เก็บใบไม้ หรือรดน้ำต้นไม้ ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ ความคล่องตัว และการประสานงานของร่างกาย
  2. การเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส
    เด็กสามารถเรียนรู้เรื่องสี เสียง กลิ่น และสัมผัสจากธรรมชาติ เช่น การฟังเสียงนก หรือการสัมผัสหญ้าเปียกน้ำค้าง
  3. คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
    การนับใบไม้ วัดเงาของต้นไม้ หรือการสังเกตการเติบโตของพืช ช่วยให้เด็กเข้าใจแนวคิดทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อย่างเป็นธรรมชาติ
  4. การเรียนภาษา
    การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่จากธรรมชาติ เช่น ชื่อของพืชและสัตว์ ช่วยเพิ่มทักษะการสื่อสารและจินตนาการ

การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
มอนเทสซอริเชื่อว่าสภาพแวดล้อมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ เด็กควรมีโอกาสสำรวจธรรมชาติ และใช้เครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ เช่น:
  • โต๊ะทำงานกลางแจ้ง
  • กล่องอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์
  • พื้นที่สำหรับการเล่นและสำรวจ
“ธรรมชาติ” ไม่ได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต แต่เป็น “พื้นฐานของการศึกษา” ที่ช่วยให้เด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กพิเศษ ได้พัฒนาศักยภาพสูงสุดของตนเอง การศึกษาแบบมอนเทสซอริสนับสนุนให้เด็กมีโอกาสสัมผัสธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาการเรียนรู้ที่ยั่งยืน

อ้างอิง:
Vaz, N. (2013). Montessori Special Education and Nature’s Playground. The NAMTA Journal, 38(1), 71-79. Retrieved from https://files.eric.ed.gov/fulltext/EJ1077974.pdf
เด็กทำอะไรในโปรแกรมมอนเทสซอริ?
​ในห้องเรียนมอนเทสซอริ เด็กจะได้เรียนรู้ผ่านพื้นที่การเรียนรู้ที่หลากหลายแต่เชื่อมโยงกันอย่างบูรณาการ ซึ่งประกอบด้วย:
  • ทักษะชีวิตประจำวัน (Practical Life Skills): เช่น การดูแลตัวเอง การช่วยเหลือผู้อื่น และการดูแลสิ่งแวดล้อม
  • พัฒนาประสาทสัมผัส (Sensorial Development): การเรียนรู้ผ่านการสัมผัส การมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น และการลิ้มรส
  • ภาษา (Language): การพัฒนาทักษะการพูด การอ่าน และการเขียน
  • คณิตศาสตร์ (Mathematics): การเรียนรู้ผ่านการนับ การวัด และการคำนวณ
  • ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการศึกษาวัฒนธรรม (History, Science, and Cultural Studies): รวมถึงภูมิศาสตร์ ศิลปะ และดนตรี

นอกจากอุปกรณ์การเรียนรู้ในแต่ละพื้นที่แล้ว เด็ก ๆ อาจมีกิจกรรมเพิ่มเติมในระหว่างวัน เช่น ร้องเพลง ฟังนิทาน หรือสำรวจธรรมชาติ

รูปแบบการเรียนรู้ในมอนเทสซอริ
  • เด็กจะมีทั้งบทเรียนแบบเดี่ยวและแบบกลุ่มในแต่ละพื้นที่การเรียนรู้
  • ตลอดทั้งวัน เด็กมีอิสระที่จะเลือกกิจกรรมที่สนใจ ซึ่งช่วยส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติและความปรารถนาที่จะเรียนรู้
สำหรับระดับประถมศึกษา (อายุ 6-12 ปี) คุณอาจพบเห็นเด็ก ๆ ทำงานร่วมกันในโครงการต่าง ๆ ซึ่งการทำงานร่วมกันนี้ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะทางสังคมและตระหนักถึงความต้องการของผู้อื่น

สิ่งที่คุณจะไม่พบในโปรแกรมมอนเทสซอริ
  • ระบบรางวัลและการลงโทษ: ห้องเรียนมอนเทสซอริไม่ใช้ระบบนี้เพื่อส่งเสริมการทำงานหรือควบคุมพฤติกรรม
  • ในมอนเทสซอริ เด็ก ๆ มีความกระตือรือร้น มีส่วนร่วม และแสดงความเคารพ เพราะพวกเขามีแรงจูงใจจากภายใน (Internal Motivation)
  • สภาพแวดล้อมในห้องเรียนช่วยพัฒนาความตั้งใจที่ดีและการควบคุมตนเองของเด็กอย่างต่อเนื่อง
มอนเทสซอริเน้นการพัฒนาเด็กให้สามารถควบคุมตนเองและมีความมุ่งมั่นในเชิงบวก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

อ้างอิง: https://amiusa.org/families/faqs-for-families/
ข้อดีของการมีช่วงอายุสามปีในห้องเรียนมอนเทสซอริ
ในห้องเรียนมอนเทสซอริ เด็ก ๆ มีความหลากหลายทั้งในด้านประสบการณ์ ทักษะ ความสามารถ และความสนใจ การมีช่วงอายุสามปีในห้องเรียนมีข้อดีดังนี้:
  1. โอกาสในการเรียนรู้ที่หลากหลาย
    เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงอุปกรณ์การเรียนที่หลากหลาย ซึ่งออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และความท้าทายที่เหมาะสมกับระดับของพวกเขา เมื่อความสนใจของเด็กเปลี่ยนไป พวกเขาสามารถเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อนขึ้นได้อย่างอิสระ ซึ่งช่วยให้เด็กพัฒนาความคิดและทักษะไปตามศักยภาพของตนเอง
  2. การเป็นทั้งผู้เรียนและผู้สอน
    * 
    เด็กที่อายุน้อยกว่าได้เรียนรู้จากเด็กที่โตกว่าผ่านการสังเกตและได้รับคำแนะนำ ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้รับความช่วยเหลือที่มีคุณค่า
    * เด็กที่โตกว่าได้ฝึกทักษะการเป็นผู้นำโดยช่วยสอนหรือแนะนำเด็กที่อายุน้อยกว่า การสอนผู้อื่นช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาและทักษะของตัวเอง
  3. การพัฒนาความสัมพันธ์และความมั่นใจ
    เด็กทุกคนในห้องเรียนมีโอกาสที่จะ:
    * รู้สึกถึงความสำเร็จ จากการช่วยเหลือผู้อื่น
    * 
    สร้างความสัมพันธ์ ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมชั้นที่มีอายุและประสบการณ์ต่างกัน
    * 
    พัฒนาความมั่นใจ ในตัวเองเมื่อสามารถช่วยเหลือผู้อื่นหรือได้รับคำแนะนำอย่างเหมาะสม

ผลลัพธ์ที่ได้
การมีช่วงอายุสามปีในห้องเรียนสร้างประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เด็กที่โตกว่าจะได้พัฒนาทักษะการเป็นผู้นำและการช่วยเหลือผู้อื่น ในขณะที่เด็กที่อายุน้อยกว่าได้รับการสนับสนุนและแรงบันดาลใจจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า

นี่คือแนวทางที่ทำให้ห้องเรียนมอนเทสซอริเป็นสถานที่ที่ทุกคนได้พัฒนาตนเองและสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ร่วมกันอย่างแท้จริง!

อ้างอิง: https://amiusa.org/families/faqs-for-families/
ขนาดที่เหมาะสมของชั้นเรียน Casa สำหรับเด็ก 25–30 คนควรเป็นอย่างไร
ขนาดพื้นที่ของห้องเรียน โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก มักถูกกำหนดโดยหน่วยงานออกใบอนุญาต ซึ่งข้อกำหนดเฉพาะจะขึ้นอยู่กับอายุของเด็กในห้อง รวมถึงกฎระเบียบที่ควบคุมจำนวนเด็กที่อนุญาตให้อยู่ในพื้นที่ในแต่ละครั้งด้วย
ในประเทศที่ไม่ใช่ประเทศตะวันตก มักไม่มีข้อกำหนดเข้มงวดเกี่ยวกับขนาดพื้นที่หรือจำนวนเด็กที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ดร.มาเรีย มอนเทสซอริ กล่าวไว้ว่าสำหรับชั้นเรียน Casa (สำหรับเด็กอายุ 2.5-6 ปีขึ้นไป) จำนวนเด็กที่เหมาะสมคือ ระหว่าง 35–45 คน โดยมีครูผู้สอนที่ผ่านการฝึกอบรม 1 คน และผู้ช่วย 1 คน
ปัจจุบัน การจัดชั้นเรียนขนาดนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยากในประเทศตะวันตก แต่ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่า หากทำได้ ผลลัพธ์ในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้จะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อมีจำนวนเด็กมากเกินไปที่ครูคนเดียวจะ “สอน” เด็ก ๆ จะเริ่มช่วยเหลือกันเอง เช่น ให้คำแนะนำหรือสอนวิธีใช้วัสดุต่าง ๆ สภาพแวดล้อมจะกลายเป็น “บ้านของเด็ก” อย่างแท้จริง ไม่ใช่พื้นที่ที่ผู้ใหญ่ควบคุมอย่างเต็มที่
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ สภาพแวดล้อมมอนเทสซอรินั้นมีความเป็นระเบียบ และวัสดุการเรียนรู้ทุกชิ้นสามารถมองเห็นและเข้าถึงได้ตลอดเวลา ต่างจากพื้นที่เรียนรู้แบบดั้งเดิมที่มักมีถังของเล่นหรือลังเก็บของ ซึ่งใช้พื้นที่น้อยกว่า
การฝึกอบรมของครูมอนเทสซอริไม่ได้เน้นแค่การนำเสนอวัสดุเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงความเข้าใจพัฒนาการมนุษย์ในช่วงอายุอย่างน้อย 3 ปีด้วย
ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับพื้นที่:
หากสามารถเลือกได้ ควรเลือกพื้นที่ที่ใหญ่กว่าพื้นที่เล็ก ๆ หากพื้นที่เล็กเกินไป อาจต้องลดจำนวนวัสดุในห้อง หรือจำกัดจำนวนเด็ก ซึ่งทั้งสองทางเลือกนี้ไม่เหมาะสมสำหรับการเรียนการสอนแบบมอนเทสซอริ เด็กในช่วงอายุ Casa ยังอยู่ในช่วงพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว ซึ่งต้องการพื้นที่เพียงพอ หากพื้นที่แออัดเกินไป อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างเด็กบ่อยขึ้น
ในการตัดสินใจ ต้องพิจารณากฎระเบียบท้องถิ่น วัดพื้นที่ที่มีอยู่ และกำหนดขนาดห้องเรียนอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม การมีเด็กน้อยเกินไปไม่เอื้อต่อการสร้างสภาพแวดล้อมมอนเทสซอริที่เหมาะสม เช่นเดียวกับการมีช่วงอายุของเด็กที่แคบเกินไป

แหล่งที่มา https://montessori-ami.org/questions/ideal-class-size
วิธีสนับสนุนเด็กวัย 5 ขวบในชั้น Casa ขณะที่พวกเขากำลังเตรียมพร้อมเข้าสู่ช่วงพัฒนาการถัดไป
อันดับแรก ควรทำความเข้าใจลักษณะของเด็กในช่วงระยะที่สองของพัฒนาการ (Second Plane of Development) เด็กในช่วงนี้เริ่มสนใจทำงานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ มากขึ้น พวกเขายังมีความสามารถในการใช้จินตนาการและการสรุปเชิงนามธรรมจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้
กิจกรรมที่สามารถช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านนี้
  • งานกลุ่มในชั้น Casa:
    • กิจกรรมทางคณิตศาสตร์ เช่น การคำนวณโดยใช้ลูกปัดสีทอง (Golden Beads)
    • การใช้ตารางจดจำในหมวดงานคณิตศาสตร์ (Math Memorization Work) เช่น การใช้ “ตาราง 2,3,4” (Blind Charts) โดยให้เด็กแต่ละคนทำงานกับตารางของตัวเอง และมีผู้ที่ทำหน้าที่ “ผู้อ่านโจทย์” บันทึกคำตอบ เช่น 4 + 8 = ?
  • กิจกรรมเกมแบบกลุ่ม:
    • เกมกับตู้เรขาคณิต (Geometric Cabinet) และบัตรภาพ
    • การฝึกคำเชื่อมโยงในกิจกรรม Function of Words ซึ่งเด็กอาจเริ่มจากการทำงานเดี่ยวก่อน และพัฒนาไปสู่การทำงานกลุ่มเล็ก ๆ
  • กิจกรรมด้านภาษา:
    • ให้เด็ก 2-3 คนทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประโยคที่ใช้ในกิจกรรมการวิเคราะห์การอ่าน (Reading Analysis)
    • • การเขียนเรื่องราว (Story Writing) ซึ่งช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ในชั้นประถม
    • การสร้างบทบาทในชั้น Casa สำหรับเด็กวัย 5 ขวบ
เด็กวัย 5 ขวบสามารถรับผิดชอบหน้าที่เพิ่มเติมในห้องเรียน Casa เช่น
  • ช่วยเหลือเด็กที่อายุน้อยกว่า
  • สอนหรือแนะนำเด็กเล็กในกิจกรรมต่าง ๆ
สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีในห้อง Casa และพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำในตัวเอง

อ้างอิง: AMI Montessori
https://montessori-ami.org/questions/supporting-5yr-olds-second-plane
วิธีส่งเสริมให้เด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปทำซ้ำกิจกรรมในชั้น Casa เมื่อเด็กๆมักชอบสังเกตมากกว่ามีส่วนร่วม
เด็กมักทำซ้ำกิจกรรมเมื่อเขามีความสนใจในสิ่งนั้นอย่างลึกซึ้ง การทำซ้ำจะเป็นประโยชน์ต่อเด็กก็ต่อเมื่อเด็กมีความสนใจในกิจกรรมดังกล่าว ดังนั้น ควรอนุญาตให้เด็กสังเกตได้ตามธรรมชาติ และในขณะเดียวกัน ครูก็ควรสังเกตเด็กเพื่อค้นหาอุปกรณ์ที่อาจดึงดูดความสนใจเด็กได้
แม้ว่าเด็กจะเพียงแค่สังเกต แต่เด็กๆมีจิตซึมซับ เขายังคงได้รับข้อมูลอยู่ เพียงแต่ไม่ถึงระดับลึกเท่ากับเมื่อได้ลงมือทำกิจกรรมโดยตรง
ข้อเสนอแนะสำหรับการส่งเสริมการทำซ้ำ
  1. ลองระบุอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่เด็กมีความรู้และคุ้นเคย จากนั้นขอให้เด็กนำเสนอวัสดุชิ้นนั้นให้เพื่อนคนอื่นดู
  2. อย่ากดดันเด็กให้ทำซ้ำกิจกรรม เพราะหากเด็กมีความสนใจและต้องการทำซ้ำ เด็กจะทำเอง หากเด็กไม่รู้สึกถึงความจำเป็นหรือความสนใจในการทำซ้ำ ไม่ว่าเราจะพูดหรือทำอย่างไร เขาก็จะไม่ทำ
ยอมรับและเชื่อมั่นในกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก
  • ยอมรับพฤติกรรมของเด็กตามที่เขาเป็น
  • นำเสนอกิจกรรมและวัสดุใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยกระตุ้นความสนใจของเด็ก
  • เชื่อมั่นว่าหากเด็กต้องการทำซ้ำเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์ และเด็กจะทำด้วยตัวเอง
เมื่ออุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งดึงดูดความสนใจของเด็กได้สำเร็จ มักจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมกับอุปกรณ์หรือกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป

อ้างอิง: AMI Montessori
https://montessori-ami.org/questions/encouraging-repetition
วิธีช่วยเด็กอายุ 2 ขวบปรับตัวเข้าสู่ชั้น Casa และคุ้นเคยกับกิจวัตรใหม่โดยไม่รู้สึกเสียใจกับการแยกจากคุณพ่อคุณแม่
การช่วยเด็กปรับตัวนั้น ต้องทำงานร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพราะหากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่พร้อมสำหรับการแยกจากเด็ก การเปลี่ยนผ่านจะยิ่งยากขึ้น ดังนั้น การพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญมาก
เตรียมตัวคุณพ่อคุณแม่ก่อนเริ่มเรียน
1. คุณพ่อคุณแม่พร้อมหรือยัง?
• พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่เกี่ยวกับการแยกจากเด็ก สำรวจว่าคุณพ่อคุณแม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้หรือไม่ และรู้สึกอย่างไร
2. สังเกตและเข้าใจสภาพแวดล้อมในชุมชน Casa:
• หากเป็นไปได้ ให้คุณพ่อคุณแม่มาสังเกตห้องเรียน Casa ก่อนที่เด็กจะเริ่มเรียน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นกิจวัตรและกิจกรรมที่เด็กจะได้ทำ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้คุณพ่อคุณแม่
3. สำรวจประสบการณ์ที่ผ่านมา:
• ถามคุณพ่อคุณแม่เกี่ยวกับปฏิกิริยาของเด็กเมื่อแยกจากคุณพ่อคุณแม่ เช่น เคยแยกกันนานแค่ไหน? 30 นาทีหรือ 3 ชั่วโมง?
ปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
1. เริ่มต้นด้วยช่วงเวลาสั้น ๆ:
• หากเป็นไปได้ ให้เด็กเริ่มต้นเข้าเรียนวันละ 1 ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ เพิ่มเวลาขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งกระบวนการนี้อาจใช้เวลา 1-2 สัปดาห์
2. ทำให้เด็กมั่นใจว่าคุณพ่อคุณแม่จะกลับมาหา:
• เด็กต้องสัมผัสได้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะกลับมารับในเวลาที่กำหนด การกลับมาตรงเวลาในช่วงแรกเป็นสิ่งสำคัญ
วิธีช่วยเด็กปรับตัวในชั้น Casa
1. สร้างความสุขและความสนใจให้เด็ก:
• ให้เด็กมีส่วนร่วมกับกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การให้อาหารปลา ให้อาหารสัตว์ตัวเล็ก หรือรดน้ำต้นไม้
• ชวนเด็กเข้ากลุ่มเล็ก ๆ ในบทเรียนด้านภาษา หรือสังเกตว่าเด็กสนใจสิ่งใดและเสนอการเรียนรู้ที่เหมาะสม
2. ส่งเสริมความมั่นใจในคุณพ่อคุณแม่:
• หากเด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมใด ๆ ลองถ่ายคลิปวิดีโอสั้น ๆ แล้วส่งให้คุณพ่อคุณแม่ดู เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เห็นว่าเด็กกำลังสนุกและปรับตัวได้ดี
หลีกเลี่ยงการเลี้ยงดูเหมือนเด็กทารก
1. ไม่อุ้มเด็กเพื่อปลอบโยน:
• เด็กวัย 2 ขวบไม่ใช่เด็กทารก ควรก้มลงไปพูดคุยและปลอบโยนในระดับสายตาแทนการอุ้ม
2. สังเกตวิธีการมาของเด็ก:
• หากคุณพ่อคุณแม่อุ้มเด็กมาส่งที่โรงเรียน แทนที่จะพาเดินมา อาจทำให้เด็กยังรู้สึกพึ่งพาคุณพ่อคุณแม่มากเกินไป
ให้คำปรึกษาแก่คุณพ่อคุณแม่
หากการเปลี่ยนผ่านของเด็กใช้เวลานานเกิน 1 เดือนโดยยังคงมีความทุกข์ ให้พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่เพื่อหารือแนวทางแก้ไขร่วมกัน
การเปลี่ยนผ่านต้องอาศัยเวลาและความเชื่อมั่นในกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก เชื่อมั่นว่าเด็กจะค่อย ๆ ปรับตัวและคุ้นเคยกับกิจวัตรใหม่ใน Casa ได้ในที่สุด

อ้างอิง
https://montessori-ami.org/questions/dealing-separation-issues

Montessori Association of Thailand

About 
Contact
© COPYRIGHT 2015. ALL RIGHTS RESERVED.